พรีมาแคร์ ขอแนะนำ 3 Digital Impact ที่จะเข้ามามีบทบาทกับธุรกิจใน การทำตลาดออนไลน์ และอีคอมเมิร์ซเป็นกิจกรรมที่รายย่อยปฏิบัติกันมานับสิบ ๆ ปี จนกระทั่งช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา หน่วยงานของรัฐก็ดี และองค์กรเอกชนก็ดีเริ่มตื่นตัวและเคลื่อนไหวในฝั่งออนไลน์กันมากขึ้น โดยจะเริ่มเห็นการค่อย ๆ พัฒนาแผนกการตลาดออนไลน์ภายในองค์กรโดยบางบริษัท, ความต้องการกำลังคนด้านการตลาดออนไลน์ในตลาดแรงงาน, การมีหลักสูตรด้านการตลาดออนไลน์ที่ออกแบบสำหรับองค์กรโดยเฉพาะเปิดสอน เป็นต้น
วันนี้ผู้ประกอบการใดไม่เข้าสู่โลกดิจิตอลไม่ได้แล้ว เพราะทั้งคู่ค้าและลูกค้าไปอยู่บนนั้นกันเป็นอันมาก และสำหรับใครที่เพิ่งเข้ามา หรือกำลังจะเข้ามา ต่อไปนี้คือ 3 Digital Impact เปลี่ยนโลกธุรกิจหลังปี 2018 (ที่เริ่มแล้ววันนี้) ที่ช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น) และคงหนี้ไม่พ้นสำหรับธุรกิจการขายของออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นครีมบำรุงผิวพรรณ เครื่องสำอาง หรืออาหารเสริม ก็จะต้องปรับตัวให้ทันเพื่อให้สามารถแข่งขัน และอยู่รอดได้ และสำหรับ3 Digital Impact มีอะไรบ้างนั้นไปดูกันเลยค่ะ
1. การสรรหาคู่ค้าและสินค้า เพื่อการเริ่มต้นธุรกิจใหม่
หลายทศวรรษก่อน การเริ่มต้นธุรกิจใหม่ไม่ถูกและเร็วเหมือนปัจจุบันที่คุณสามารถเข้า Google และค้นหาแหล่งซัพพลายเออร์ได้อย่างรวดเร็ว คุณสามารถตรวจสเป็ก เช็คราคา ดูความน่าเชื่อถือของผู้ขายต่าง ๆ ก่อนการตัดสินใจ หรือกล่าวโดยสรุป วันนี้ทุกคนที่มีอินเตอร์เน็ตมีศักยภาพในการสามารถเข้าถึงข้อมูลของแหล่งซื้อได้แทบจะเท่าเทียมกัน
กรณีที่คุณต้องการนำสินค้าเข้าจากจีน ก็มีเว็บไซต์ Wholesales Marketplace ระดับโลกอย่าง Alibaba ที่คุณแทบจะเข้าไป ช้อปปิ้งซัพพลายเออร์ ได้เลย — หรืออีกแนวทางการทำธุรกิจที่นิยมอย่างเงียบ ๆ แต่ร้อนแรงได้แก่ ธุรกิจทำแบรนด์อาหารเสริมและเครื่องสำอางของตัวเอง ซึ่งมีโรงงานที่รับผลิตแบบ One Stop Service ตั้งแต่ผสมสูตร ขอจดทะเบียน ผลิต และบางทีมีระบบส่งของให้ด้วย! ผู้ประกอบการมีหน้าที่ทำการตลาดและปิดการขายผ่านโลกออนไลน์เป็นหลัก แบบนี้ก็เริ่มีแล้ว
2. การเข้าถึง ‘ผู้ซื้อ’ และ ‘ผู้ขาย’ ผ่านการตลาดดิจิตอลและอีคอมเมิร์ซ
ต่อยอดจากข้อแรกทำให้เจ้าของผลิตภัณฑ์ค้าปลีกและผู้ซื้อปลีก ต่างฝ่ายต่างก็หากันเจอง่ายขึ้นเพราะอินเตอร์เน็ตมีช่องทางและวิธีเข้าถึง กลุ่มเป้าหมาย (กรณีเป็นผู้ขาย) และ ผลิตภัณฑ์ที่มองหา (กรณีเป็นผู้ซื้อ) หลัก ๆ ได้แก่…
E-Commerce Stand-Alone
เป็นการทำเว็บไซต์ขายของออนไลน์ที่เป็นเว็บของเจ้าของผลิตภัณฑ์โดยตรง มีการทำระบบตะกร้า (Shopping Cart) ที่เชื่อมต่อเข้ากับระบบชำระเงินออนไลน์ (Payment Gateway) ที่รับชำระผ่านบัตรเครดิตได้ ส่วนวิธีทำการตลาดให้กับเว็บไซต์แนวนี้ ได้แก่ Search Engine Optimization หรือ SEO, Search Engine Marketing หรือ SEM, Social Media Marketing, Digital PR หรือการซื้อสื่อประชาสัมพันธ์ผ่านเว็บไซต์ข่าวต่าง ๆ เป็นต้น ฯลฯ
E-Commerce Marketplace
เป็นเว็บไซต์แพลทฟอร์มกลางที่เปิดให้ผู้อื่นนำสินค้าไปโพสต์ขาย อาทิ Lazada, 11 Street, Kaidee ในต่างประเทศ อาทิ Amazon, Ebay เป็นต้น ข้อดีคือ คุณไม่ต้องสร้างและติดตั้งระบบเองทั้งหมดเหมือนกรณีแรก เพราะเว็บไซต์เหล่านี้มีระบบให้คุณพร้อมแล้ว อีกทั้งทางเว็บไซต์แพลทฟอร์มมีการทำการตลาดอย่างต่อเนื่องทำให้เป็นที่รู้จักและมี Traffic เข้าเว็บไซต์จำนวนมากต่อวัน ทั้งนี้การนำสินค้าไปลงขายยังเว็บไซต์เหล่านี้ ทางเจ้าของผลิตภัณฑ์ก็ยังต้องทำการตลาดเฉพาะตัวสินค้าแยกออกไปอีกด้วยวิธีเดียวกับ E-Commerce Stand-Alone
Online Advertising
คุณสามารถทำให้กลุ่มเป้าหมายรับรู้และหาคุณเจอผ่านการโฆษณาออนไลน์ซึ่งมีหลากหลายวิธี หลัก ๆ ได้แก่ Search Engine Optimization หรือ SEO, Search Engine Marketing หรือ SEM, Social Media Marketing ที่นิยมคือการทำ Facebook Business Page และการซื้อ Facebook Ads
นอกจากนั้นยังมีวิธีการทำ Digital PR เป็นการซื้อสื่อประชาสัมพันธ์ผ่านเว็บไซต์ข่าวต่าง ๆ อันรวมไปถึงการอาศัย Influencer ที่มีสื่อของตนเอง เช่น Blogger, Youtuber ประชาสัมพันธ์ให้ — เหล่านี้เป็นวิธีหลัก ๆ จากอีกหลากหลายวิธีย่อย ๆ และหลากหลายในการทำโฆษณาออนไลน์
3. ลดต้นทุนหน้าร้าน ย้ายงบประมาณไปพัฒนาระบบ และการตลาดดิจิตอล
กรณีค้าปลีกดั้งเดิมที่ต้องการขยายการเข้าถึงไปยังพื้นที่ใหม่ ๆ ต้องทำผ่านวิธีเดียวคือ ขยายสาขา การกระทำดังกล่าวมีต้นทุนมหาศาลในการสร้างหน้าร้าน, ซื้อสต็อกมาลงให้เต็มร้าน และการจ้างพนักงานประจำทุกตำแหน่งในทุกสาขาที่เปิดเพิ่ม รวมแล้วเป็นเงินมหาศาล แต่กรณีออนไลน์กลับเป็นเช่นนั้นไม่
เพราะธุรกิจออนไลน์สามารถมีสำนักงานหลักประจำอยู่ที่เดียว ทำการตลาดและขายสินค้าผ่านอินเตอร์เน็ตและส่งสินค้าไปให้ผู้รับที่อยู่ทั่วประเทศจากส่วนกลาง เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้ประกอบการจึงสามารถนำงบประมาณที่จะไปสร้างหน้าร้านไปลงทุนกับระบบสำคัญ ๆ ในการทำอีคอมเมิร์ซ อาทิ
ทำเว็บไซต์และระบบหลังบ้าน
เปลี่ยนจากการทำหน้าร้านสวย ๆ ไปสู่การทำเว็บไซต์สวย ๆ ใช้ง่าย โหลดเร็ว มีระบบตะกร้าและการชำระเงินที่สะดวกใช้งานง่าย เหล่านี้คือประสบการณ์การซื้อของที่ดีสำหรับลูกค้า
ทำคอนเทนต์มาร์เก็ตติ้ง
คอนเทนต์มาร์เก็ตติ้ง คือการผลิตเนื้อหาที่มีประโยชน์ต่อกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็น บทความ รูปภาพ หรือวีดีโอต่าง ๆ และใช้สื่อเผยแพร่เนื้อหาออกไปเพื่อก่อเกิดการรับรู้และดึงดูดกลุ่มเป้าหมายเข้ามาหาแบรนด์ เป็นแนวทางที่แบรนด์ควรใช้ประโยชน์จากพื้นที่สื่อที่ตนมีสิทธิ์ในการทำการตลาดประเภทนี้คู่ไปกับการโพสต์ขายสินค้า เพราะมันเป็นหนึ่งในการสร้าง Relationship ระยะยาวกับกลุ่มเป้าหมายและลูกค้า
ซื้อโฆษณาออนไลน์
โฆษณาออนไลน์ดั่งที่กล่าวไปในข้อ 2 ของบทความนี้ — คนจำนวนไม่น้อยยังเข้าใจว่าการตลาดออนไลน์ไม่ต้องใช้เงิน หรือใช้น้อยซึ่งไม่จริงเสียทีเดียว เพราะหากคุณจะขยายการเข้าถึงให้มากและกว้างไกล คุณจำเป็นต้องซื้อโฆษณาผ่านหลายช่องทาง อาทิ Facebook Ad, Google AdWord และ PR Media เหล่านี้ใช้เงิน และเมื่อรวม ๆ กันแล้วก็เป็นเงินจำนวนหลายแสนบาท ไปจนถึงหลักล้านบาทต่อเดือน ขึ้นอยู่กับขนาดธุรกิจของคุณ แต่โดยรวมแล้วก็ประหยัดกว่าโฆษณาดั้งเดิม อาทิ โทรทัศน์ และสิ่งพิมพ์
ทำระบบ Lead Generation และ Email marketing
สำหรับรายย่อยอาจยังไม่คุ้นกับสองสิ่งนี้ แต่บริษัทใหญ่ ๆ ที่ให้ความสำคัญกับการตลาดออนไลน์ล้วนทำการตลาดด้วยวิธีนี้ทั้งสิ้น โดยเฉพาะในต่างประเทศนั้นทำกันเป็นล่ำเป็นสัน
กลยุทธ์นี้เกิดขึ้นบนหลักคิดว่า ‘Traffic มีค่าอย่าปล่อยให้หลุดมือ’ คนที่เข้าเว็บไซต์ของคุณ หากเขาเข้ามาแล้วออกไป โอกาสจะกลับเข้ามาใหม่อีกครั้งจะน้อยลงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการเข้ามาเพราะเห็นโฆษณา ดังนั้นเพื่อไม่ให้ Traffic นั้นสูญเปล่า ระบบ Lead Generation จึงถูกนำมาใช้ กล่าวคือเป็นเครื่องมือเก็บรายชื่อและวิธีติดต่อของ Visitor และหลังจากนั้นแบรนด์จะสามารถส่งอีเมล์ไปประชาสัมพันธ์และขายสินค้าเมื่อไรก็ได้
จากข้อ 1-3…
เป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นจากเทคโนโลยีอินเตอร์เน็คและการตลาดออนไลน์ได้เข้ามามีบทบาททางธุรกิจ ซึ่งมีมานานมากแล้วโดยเฉพาะในอเมริกา แต่สำหรับประเทศไทยก็เริ่มมีการนำมาใช้ โดยอนาคต — ผู้ประกอบการที่เชี่ยวชาญการประยุกต์ใช้เครื่องมือออนไลน์ต่าง ๆ จะได้เปรียบกว่า
ที่มา ceoblog
ช่องทาง SOCIAL MEDIA สำหรับ PREMA CARE
เพื่อรับคำปรึกษาสร้างแบรนด์ทำแบรนด์